“เวลาหน้าร้อนก็จะเข้าป่าไปหาน้ำผึ้งกัน ดำน้ำยิงปลากันครับ ทำเป็นทุกคน”
ขุน - กิตติคุณ คนธพฤกษ์ และ พล - ยุทธนา เจริญคีรีพนา นักเรียนโรงเรียนบ่อเกลือ จ.น่าน เล่าถึงกิจวัตรช่วงหน้าร้อนที่เด็กๆ ชาว “มละบริ” ในหมู่บ้านนากอกทำประจำ
เดิมที “ชาวมละบริ” อาศัยอยู่ในป่า และใช้ “ภาษามละบริ” เป็นภาษาหลักของตนเอง
ด้วยกำแพงภาษา การเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศีกษาร่วมกับเด็กคนอื่นจึงเป็นความท้าทายไม่น้อย แม้ทั้งสองจะตั้งใจและชอบการมาโรงเรียนอย่างมาก
“ผมชอบมาโรงเรียนเพราะได้ทำเวรและทำการบ้านเสร็จไวกว่าเด็กในหมู่บ้าน” ขุนบอก “วิชาที่ชอบก็จะมีภาษาไทย ศิลปะ พละ ที่พอได้บ้างคือคณิต ท่องสูตรได้ แต่ไม่ถนัดเรื่องลบและหารครับ”
“พวกผมพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ชอบมาโรงเรียนเพราะได้เจอเพื่อนๆ” พลเสริม
สิ่งที่ทั้งสองรู้คือต้องตั้งใจเรียนเพราะหวังว่าจะเรียนให้ถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเรียนมละบริทุกคนในโรงเรียนบ่อเกลือตั้งใจไว้ แม้จะไม่แน่ใจวิธีการก็ตาม

“แรกๆ เราไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนเป็นชาติพันธุ์มละบริ แต่สังเกตได้ว่าพวกเขาเรียนช้ากว่าเพื่อน” ครูคุญ ครูเกด และครูแสตมป์ ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงรุ่น 10 สะท้อนถึงความท้าทายของนักเรียนทั้งสอง
“นักเรียนชาติพันธุ์ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้เข้าใจและอ่านเขียนภาษาไทยกลางได้” ไม่ต้องพูดถึงภาษาอื่นๆ เช่น คำเมือง (ภาษาถิ่นภาคเหนือ) ที่เอาไว้ใช้พูดกับเพื่อนในโรงเรียน หรือวิชาภาษาอังกฤษที่ท้าทายพวกเขายิ่งขึ้นไปอีก
“เราจะผลักดันยังไงให้เขาไม่ต้องเป็นคนชายขอบ ไม่ได้แปลกแยก แต่ในขณะเดียวกันก็ค้นหาเอกลักษณ์ตัวตน และวางตัวเองในสังคมได้”

ครูผู้นำฯ ทั้งสามไม่ใช่คนเพียงกลุ่มเดียวที่มองเห็นอุปสรรคการเรียนรู้ของนักเรียนชาวมละบริ เพราะครูในโรงเรียน ครูหอพัก และผู้นำชุมชน ต่างมีส่วนร่วมในแบบของตนเอง เพื่อตอบรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในโรงเรียนบ่อเกลือ
เริ่มจากปรับเนื้อหาให้ง่าย เข้าถึงนักเรียนมากขึ้นผ่านการจัดกิจกรรมแข่งขันในชั้นเรียน และสอนเสริมบางวิชาท้ายคาบเรียนเพื่อให้ขุนและพลเรียนทันเพื่อนๆ ครูหอพักก็จะชวนนักเรียนจากหลากหลายพื้นเพทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศการอยู่ร่วมกัน
“(ในหอพัก) เราใช้ระบบพี่สอนน้อง ให้นักเรียนมละบริในหอพักแนะนำสอนกันเองก่อนว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมโรงเรียนยังไง” ครูโบว์ - ดวงฤดี บุญเทพ ครูประจำหอพักเล่า
พี่ติ๊ก - อรัญวา ชาวพนาไพร ชาวมละบริคนแรกที่เรียนจบปริญญาตรีและผู้นำชุมชนบ้านนากอก ก็ช่วยเป็น กระบอกเสียงให้ชาวมละบริเห็นความสำคัญของการศึกษา เพื่อไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนภายนอกได้
“โลกมันไปข้างหน้า เราเองก็จะอนุรักษ์วิถีของมละบริไว้ แต่ก็ต้องปรับตัวให้ทันโลก การเรียนรู้มันไม่ควรที่จะหยุด” พี่ติ๊กกล่าวทิ้งท้าย

เรื่องราวของขุน พล และชุมชนบ้านนากอก อ.บ่อเกลือ จ.น่าน สะท้อนถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งชุมชน โรงเรียน ครู ครูผู้นำฯ และนักเรียน ที่มุ่งมั่นสร้างการเรียนรู้ที่เสมอภาคให้กับเด็กทุกกลุ่ม ด้วยความเชื่อที่ว่า การศึกษาคือโอกาสที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนและสังคมให้ดีขึ้นได้
ร่วมสนับสนุนเพื่อสร้างโอกาสการศึกษาที่เสมอภาค ที่: partnerships@teachforthailand.org
บทความโดย น.ส. วรัทยา ไชยศิลป์ ศิษย์เก่าทีช ฟอร์ ไทยแลนด์
และเจ้าหน้าที่พัฒนาความเป็นผู้นำส่วนภูมิภาค